- ขายบ้านคุณตอนนี้!
- สมัครสมาชิก / เข้าสู่ระบบ
-
ภาษาไทย- th
-
THB - ฿
- ซื้อ
- ประเภทอสังหาฯใน กรุงเทพมหานคร
- กรุงเทพมหานคร
- ดูประกาศล่าสุด
- ซื้อบ้านกับ BPP ดีอย่างไร?
- เช่า
- ขาย
- โครงการทั้งหมด
โครงการ เดอะ เบส การ์เด้น พระราม 9 เป็นโครงการประเภท คอนโด / อพาร์ทเม้นท์ ตั้งอยู่ในทำเลพื้นที่ หัวหมาก, กรุงเทพมหานคร และได้สร้างเสร็จแล้วเมื่อ ธ.ค. 2562 โดยมีทั้งหมด 36 ชั้น รวมทั้งสิ้น 32 ยูนิต ซึ่งเป็นโครงการคุณภาพโดย แสนสิริ และเป็นบริษัทเดียวกันที่ได้พัฒนาโครงการ Via ARI (เวีย อารีย์), SHUSH Ratchathewi (ชูช์ ราชเทวี) และ CANVAS Cherngtalay (แคนวาส เชิงทะเล). อีกด้วย
The BASE Garden Rama 9 (เดอะเบส พระราม 9)
ขอต้อนรับเข้าสู่มาตรฐานการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่กับ The BASE Garden Rama 9 โครงการใหม่ล่าสุดจาก แสนสิริ ที่ทุกตารางนิ้วของโครงการถูกเติมเต็มด้วยพื้นที่สีเขียว ให้วันพักผ่อนของคุณเสมือนอยู่ท่ามกลางรีสอร์ทสุดหรูที่เพรียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรทั้งล็อบบี้ สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ฟิตเนส พื้นที่อเนกประสงค์ สวนหย่อม และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
ผู้พัฒนาโครงการ
โครงการ The BASE Garden Rama 9 เป็นโครงการที่พัฒนาโดย แสนสิริ ซึ่งเป็นโครงการสร้างเสร็จในปี 2562
ที่ตั้งและการเดินทาง
โครงการ The BASE Garden Rama 9 ตั้งอยู่ที่ 18 ถนนพระราม 9 หัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพ ซึ่งเป็นโครงการติดถนนใหญ่ คือถนนพระราม 9 ใกล้แยกรามคำแหง ซึ่งเข้าออกได้จากหลายเส้นทางทั้งถนนพระราม 9 ถนนรามคำแหง ถนนสุขุมวิท และห่างจากจุดขึ้นลงทางด่วนศรีรัชไปประมาณ 1.4 กม. นอกจากนี้ที่ตั้งโครงการยังใกล้กับแอร์พอร์ตลิงค์ ดังนั้น การเดินทางมายังโครงการจึงสามารถทำได้จากทั้งทางรถยนต์และรถสาธารณะ
สำหรับการเดินทางมายังโครงการโดยใช้รถยนต์ส่วนตัว โครงการจะตั้งอยู่ติดกับถนนพระราม 9 ฝั่งมุ่งหน้าไปทางแขวงบางกะปิ
แต่หากคุณต้องการเดินทางมายังโครงการด้วยรถไฟฟ้า สถานีที่ใกล้ที่สุดคือแอร์พอร์ตลิงค์ โดยสถานีที่ใกล้ที่สุด คือสถานีรามคำแหง ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 700 เมตร โดยเมื่อลงจากสถานีให้มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ เข้าสู่ถนนรามคำแหงที่ซอยเอื้ออมรสุข 7 ไปประมาณ 650 เมตร จากนั้นจึงเลี้ยวขวาที่แยกรามคำแหง ตรงไปประมาณ 100 เมตร ก่อนเลี้ยวขวาเข้าสู่โครงการ
ข้อมูลโครงการ
โครงการ The BASE Garden Rama 9 ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ โดยโครงการเป็นลักษณะคอนโด high-rise สูง 36 ชั้น มียูนิตพักอาศัยทั้งหมด 639 ยูนิต โดยในแต่ละชั้นจะมีไม่เกิน 20 ยูนิต และยูนิตสำหรับร้านค้า 1 ยูนิต
ห้องพักของโครงการนี้ จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ห้องขนาด 1 ห้องนอน (26.5 - 34.75 ตร.ม.) และห้องขนาด 2 ห้องนอน (49.75 - 55 ตร.ม.) โดยห้องในโครงการนั้นจะมาแบบ fully fitted คือมีชุดครัวบิวท์อิน ฉากกั้น พร้อมแอร์ที่ติดตั้งในห้องนั่งเล่นและห้องนอน และประตูระบบ digital door lock มาให้ นอกจากนี้โครงการยังมี furniture package สำหรับผู้ที่ต้องการเลือกเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินจากทางโครงการอีกด้วย
สิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการนี้ ถือเป็นจุดเด่นเลยก็ว่าได้ เนื่องจากโครงการมีคอนเซ็ปต์การออกแบบที่เน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ดังนั้น คุณจึงสามารถเพลิดเพลินกับพื้นที่สีเขียวได้ในหลาย ๆ จุดของโครงการไม่ว่าจะเป็นสวนหย่อมด้านหน้า บริเวณชั้นห้า และพื้นที่โดยรอบโครงการ รวมถึงการใช้วัสดุตกแต่งอย่างเช่น ไม้ และ หินอ่อนที่ให้ความรู้สึกกลมกลืนกัน ภายในโครงการจะมี ล็อบบี้พร้อมอินเตอร์เน็ตไวไฟฟรี สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือแบบฟรีด้อม สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก ฟิตเนสขนาดใหญ่ พื้นที่สันทนาการกลางแจ้ง บ้านต้นไม้ พื้นที่อเนกประสงค์ ลิฟต์โดยสารและลิฟต์ขนของ ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมงด้วย CCTV รปภ. และบัตรผ่านเข้าออก สำหรับพื้นที่จอดรถของโครงการนั้นจะมีด้วยกันทั้งหมดประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนยูนิตทั้งหมด ไม่รวมการจอดซ้อนคัน
ลองเช็คดูก่อนว่าบ้านของคุณนั้นควรมีราคาอยู๋ที่ประมาณเท่าไหร่ ในทำเลนี้?
CONSTRUCTING LIFE, NOT JUST BUILDINGS
With over 33 years of experience and hundreds of projects across Thailand, including two hotels and a residential project in Kensington, London, Sansiri is widely regarded as Thailand’s leading developer of quality houses, townhouses and condominiums.
Constructing meticulously designed, well-made homes, we strive to continuously improve the quality of life of our residents.
Sansiri is also Thailand’s only fully integrated property developer, providing comprehensive services that go far beyond those of traditional developers.
Our Plus Property Agency, Quintessentially Concierge and Rental for the Holidays Lettings allow us to fully attend to the needs of our customers from start to finish.
Our journey continues…
From Sansiri’s earliest days, more than three decades ago, we have pursued projects and partnerships that have the potential to change the way we live in the world – but perhaps none has been as momentous as the partnerships we have entered with our Everyday Visionaries. The modern world, and its young, modern citizens, are changing rapidly. Many of the highest-growing companies are using technology to innovate their sectors. Sansiri, as always, is at the vanguard. We’re not waiting for the future. We’re making it.
The people and brands that we’ve partnered with truly are visionaries. Each of them has the potential to challenge the status quo and to help Sansiri grow. Like Sansiri, they believe in the transformative power of good design. They are built upon a commitment to improve quality of life. And they have a singular ambition of improving everyday lives and even whole sectors. These are businesses led by world-leading talent, strategically chosen for their common ambition and complementary purposes. We have cultivated relationships with these businesses, and their founders,
over many years, and these new partnerships are borne out of an affinity and admiration for each other’s endeavours. Individually, each business is known for its singular take on its respective sector, visionary products and passion for innovation. But collectively, with Sansiri, they represent synergistic possibilities for creating completely new products, connecting global audiences and creating a collaborative vision to evolve the way we live. It’s a thrilling new chapter for Sansiri, and one we are looking forward to writing together with our new partners.
We’re living in an era where technology and the internet are shaping the way we live, but it’s also true that we are directing that progress in ways that benefit our lives. Sansiri’s exciting new investments and collaborations answer the needs of an increasingly mobile and global audience, not just in terms of creating the buildings people want, but improving the lives of those who reside in them
หากคนไทยแต่งงานกับชาวต่างชาติ แล้วต้องการจะซื้อบ้านหรือที่ดิน แล้วทำการโอนกรรมสิทธิ์ในชื่อของคู่สมรสชาวต่างชาตินั้น ตามกฎหมายไทยจะไม่ให้ชาวต่างชาติ ถือครองที่ดินในประเทศไทยได้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้
แต่หากมีความยินยอมระหว่างกันก็สามารถโอนเป็นชื่อคู่สมรสคนไทยได้ตามปรกติ โดยจะมีความซับซ้อนขึ้นอีกเล็กน้อย แบ่งเป็นกรณี
1. "คู่สมรสชาวต่างชาติเตินทางไปที่กรมที่ดินด้วยไม่ได้" จะไม่สามารถใช้เอกสารมอบอำนาจแบบคนไทยได้ แต่จะต้องขอบันทึกถ้อยคำรับรองว่าเงินทั้งหมดที่นำมาซื้อบ้านหรือที่ดินนี้ เป็นทรัพย์สินส่วนตัว ไม่ใช่สินสมรส และให้หน่วยงาน เช่น สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุล หรือโนตารีพับลิค ทำการรับรองว่าทั้งคู่เป็นสามี ภรรยาจริง และให้คู่สมรสคนไทยนำเอกสารรับรอง (เอกสารตัวจริง) ไปดำเนินการต่อที่กรมที่ดินเองต่อไป
2. "หากคู่สมรสชาวต่างชาติสามารถเดินทางไปพร้อมกับคนไทยที่เป็นคู่สมรสได้" ก็แค่ยินดีเซ็นรับรองว่าบ้านหรือที่ดินแปลงที่กำลังจะซื้อกันนี้ จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคู่สมรสคนไทยเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
หากคุณได้เข้าเยี่ยมชมโครงการ เดอะ เบส การ์เด้น พระราม 9 และตัดสินใจเลือกยูนิตที่ต้องการแล้ว คุณต้องเตรียมตัวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- โอนเงินมัดจำการจอง
- ทำสัญญาตกลงซื้อขาย (อาจจะมีการชำระเงินเพิ่มบางส่วน)
- ผ่อนชำระเงินดาวน์ตามงวดที่ตกลง (ถ้ามี)
- ทำเรื่องเอกสารเพื่อขอกู้ยืมกับธนาคาร
- กำหนดการตรวจรับบ้าน
- หากพบเจอปัญหาการตรวจรับ ให้ลงรายการและแจ้งโครงการให้แก้ไข
- ตรวจรับบ้านรอบสุดท้าย
- กำหนดการโอนกรรมสิทธิ์ และ เซ็นสัญญากู้ยืมกับธนาคาร
ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ทำให้หลายคนมองหาการซื้อคอนโดมือสอง เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยกันมากขึ้น เนื่องด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ดังนี้
1. คอนโดมือสองนั้น มีราคาที่ถูกกว่าคอนโดมือหนึ่งในยุคนี้อย่างเห็นได้ชัด หากเทียบกับขนาดห้อง และทำเลที่ใกล้เคียงกัน
2. ได้เห็นบรรยากาศโดยรอบทั้งภายใน และภายนอกโครงการได้อย่างชัดเจน ทำให้ประเมินการใช้ชีวิต หากต้องอยู่ที่นี่ได้ง่ายขึ้น
3. มีโอกาสได้ทำเลที่ตั้งที่ดีกว่าคอนโดมือหนึ่ง เพราะนับวันพื้นที่ในทำเลดีๆ หาได้ยากยิ่งนักและมีราคาสูงมาก แต่ต้องยอมรับกับสภาพและอายุการก่อสร้างของคอนโดมือสองให้ได้ด้วยเช่นกัน
4. ส่วนใหญ่แล้วคอนโดมือสองจะถูกตกแต่ง หรือ Built In เฟอร์นิเจอร์อย่างครบถ้วนแล้ว จึงสามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที
5. วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างคอนโดมือสองหลายโครงการมีคุณภาพดีกว่า เนื่องจากราคาของวัสดุในช่วงที่ก่อสร้างอาจจะไม่ได้สูงเท่ากับในยุคนี้ ทำให้ผู้ประกอบการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง